การฝึกสุนัข



การฝึกให้สุนัขเชื่อให้ฟังคำสั่ง เป็นอีกทางหนึ่งที่คุณสามารถพัฒนาทักษะของสุนัขได้ มาดูกันดีกว่าว่าเราสามารถฝึกอะไรให้กับสุนัขได้บ้าง

อุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึก
โซ่คล้องคอและสายฝึก โซ่หรือปลอกคอนั้นควรมีขนาดกว้างพอสมควร อย่าให้รัดคอสุนัขมากเกินไป สำหรับสายฝึกควรมีขนาดยาวประมาณ 5 ฟุต จะอยู่ติดกับปลอกคอเพื่อใช้เชื่อมระหว่างตัวคุณและสุนัข และควรให้ส่วนที่คล้องสายฝึกอยู่ทางด้านขวาของสุนัขเสมอ เพื่อไม่ให้สายฝึกรัดคอสุนัข

การฝึกควรเริ่มเมื่อสุนัขมีอายุมากว่า 4 เดือน คำพูดที่ใช้ออกคำสั่งควรเป็นคำพูดง่ายๆ สั้นๆ อย่าตะโกน ให้ใช้น้ำเสียงที่หนักแน่น ชัดเจน ในระยะแรกๆอาจต้องใช้ท่าประกอบ หรือจับให้ทำตามคำสั่ง ช่วงแรกต้องสร้างความคุ้นเคยระหว่างสุนัขกับโซ่คอหรือปลอกคอเสียก่อน เริ่มต้นด้วยการเดิน 2-3 ก้าวโดยใส่ปลอกคอพร้อมสายฝึก และควรให้สุนัขอยู่ทางด้านซ้ายของเจ้าของ อาจเรียกให้เข้ามาใกล้ๆด้วยการตบต้นขาซ้ายของตัวคุณ แล้วบอกว่า "ชิด" เมื่อสุนัขเข้ามาชิดตัวก็ควรให้รางวัลด้วยการตบไหล่ หรือลูบหัวมันแล้วชมว่า "ดีมาก" รวมถึงเรียกชื่อของมันด้วย

ขั้นตอนการฝึกสุนัข








การฝึกสุนัขให้เลิกแทะสิ่งของ


การที่สุนัขแทะและกัดสิ่งของต่างๆเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฟันของมันเริ่มแข็งแรงแล้ว และมันก็มีอาการมันเขี้ยว จะเห็นได้ว่าสุนัขอาจจะเริ่มจากการกัดขาโต๊ะ เก้าอี้ นั่นก็เป็นการบริหารเหงือกของมันวิธีหนึ่งเช่นกัน ทางทีดีเจ้าของควรหาเครื่องเล่นสำหรับสุนัขโดยเฉพาะจะดีกว่า เช่น กระดูกยาง หรือสิ่งที่ทนต่อการกัดของสุนัข ดีกว่าให้มันไปทำลายสิ่งของอื่นๆในบ้าน


ถ้าเจ้าของพบว่ามันกำลังกัด หรือ ทำลายสิ่งของให้ใช้การดุโดยออกเสียงว่า "ไม่" หรือ "อย่าทำ" รวมทั้งจับปากแยกออกพร้อมกับดึงของออกจากปาก การใช้น้ำเสียงที่ดุดันและปฏิบัติอย่างถูกต้อง จะทำให้สุนัขจำได้ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่เจ้าของไม่อยากให้มันทำนั่นเอง



การให้อาหารสุนัข


การให้อาหารสุนัขอย่างถูกต้องคือ การให้อาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนตามที่สุนัขต้องการ มีปริมาณที่เหมาะสม การให้อาหารด้วยเนื้อเพียงอย่างเดียวหรือให้เศษอาหารเหลือย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะพวกเขาจะไม่ได้คุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน อาจเป็นโรคท้องร่วง หรือขนร่วง รวมทั้งโรคต่างๆด้วย และที่สำคัญร่างกายจะไม่เจริญเติบโตได้สัดส่วนที่ดีตามที่ควรจะเป็น


สารอาหารที่สุนัขต้องการมีดังนี้


อาหารประเภทต่างๆสำหรับสุนัข



วิธีการคัดเลือกสุนัขมาเลี้ยง



การคัดเลือกสุนัขมาเลี้ยงมีวิธีพิจารณาคือ ต้องเริ่มจากการเลือกขนาดของสุนัข ถ้าชอบสุนัขตัวใหญ่ก็ต้องมีสถานที่ให้มันออกกำลังกาย วิ่งเล่นเพียงพอ สุนัขพันธุ์เล็กก็มีปัญหาน้อยกว่า เพราะไม่ต้องอาศัยพื้นที่กว้างในการเลี้ยงดู พิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละสายพันธุ์ด้วย เพราะสุนัขบางพันธุ์มีนิสัยก้าวร้าวไม่เหมาะที่จะเลี้ยงไว้สำหรับเป็นเพื่อนเล่นของเด็กๆ ดูจุดประสงค์ในการเลี้ยง ถ้าเลี้ยงไว้เป็นเพื่อเป็นสุนัขในครอบครัว ควรเลือกสุนัขพันธุ์ที่มีนิสัยเป็นมิตร แต่ถ้าเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ควรเลี้ยงสุนัขที่มีนิสัยก้าวร้าว ดุดัน

ขน

เรื่องขนของสุนัขก็ควรให้ความสำคัญอย่างมาก ถ้าเราไม่มีเวลาพอก็อย่าเลี้ยงสุนัขที่มีขนยาวรุงรัง เพราะจะต้องดูแลขนอย่างดี อาจทำให้ยุ่งยากมากยิ่งขึ้น เพราะสุนัขพันธุ์ขนยาวต้องการๆเอาใจใส่ดูแล เช่น อาบน้ำทุกสัปดาห์ กำจัดเห็บ หมัด ปัญหาเรื่องขนร่วงตามบ้าน ซึ่งยากต่อการทำความสะอาด ถ้าเป็นคนไม่มีเวลาจริงๆ แต่อยากเลี้ยงสุนัข ให้เลือกพันธุ์ที่มีขนสั้นเกรียนจะดีกว่า

แหล่งที่มา

แหล่งที่มาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าสุนัขมีใบรับรองมาจากฟาร์มที่ไว้ใจได้หรือมาจากคนรู้จัก ก็จะได้สุนัขที่ดีและไม่ถูกหลอก

วิธีเลือกสุนัขควรดูเรื่องสำคัญดังต่อไปนี้




การให้อาหารแมวชรา



แมวที่มีอายุมากจะต้องการสารอาหารน้อยลงเพราะมันใช้พลังงานน้อยลงกว่าปกติ ถ้าให้มันมากเกินไปจะอ้วนได้ และอาหารที่ให้ควรจะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ระวังอย่าให้กินแป้งมากเกินไป เพราะแมวในวัยนี้ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนก่อน การวิ่งจึงวิ่งได้ไม่เต็มที่ การควบคุมอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ 

อย่างไรก็ดีควรให้อาหารที่มีส่วนของโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุด้วย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแมวแก่แต่ก็ต้องการแร่ธาตุเหมือนกัน



เรียกได้ว่าถึงจะแก่ แต่ก็ต้องไม่เป็นโรค ถึงจะแก่อย่างสุขภาพดีค่ะ!!!



พฤติกรรมการเห่าของสุนัข




การเห่า คือพฤติกรรมพื้นฐานของสุนัข แต่ถ้าสุนัขเห่ามากจนก่อความรำคาญแก่เจ้าของ หรือต่อคนอื่นๆ คำถามก็คือ เราจะทำอย่างไรกันดี?

สุนัขที่เห่าบ่อยๆ ไม่ได้หมายความว่า มันเป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่ดีเยี่ยมแต่ประการใด การที่สุนัขเห่าจนติดเป็นนิสัย เหตุผลนั้นมากจากหลายๆสาเหตุ เช่น การไม่ได้รับการฝึกฝนที่เพียงพอ ความเบื่อหน่ายของสุนัข และความวิตกกังวล ดังนั้นเมื่อคุณสังเกตุเห็นสุนัขมีอาการแบบนี้ เจ้าของควรจะพาสุนัขไปเดินเล่นบ้าง เพื่อลดอาการเหล่านี้ลงไปได้


แม้ว่าสุนัขนั้นจะมีบทบาทในการเฝ้าบ้าน แต่ว่ามันก็ควรจะได้รับการสอนให้รู้ว่าการเห่าที่พร่ำเพรื่อและไม่จำเป็นนั้นไม่สามารถที่จะทำได้ เจ้าของควรจะสอนมันว่า การเห่าแมวเพื่อนบ้าน เห่าเด็กๆ เห่าคนที่เดินผ่านไปมา คือสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่



เมื่อสุนัขวิ่งไปเห่าคนที่อยู่หน้าบ้าน หรือกำลังจะเข้ามาบ้าน เจ้าของต้องสอนให้มันรู้ว่า ในสถานการณ์แบบนั้นมันต้องหยุดเห่าทันทีที่เจ้าของแสดงทีท่าว่ารู้สึกรำคาญ หรือสั่งให้มันหยุด เจ้าของต้องทำโทษสุนัขด้วยคำพูด วิธีที่ดีที่สุดคือ ควรจะพูดว่า "หยุดนะ" เมื่อสุนัขหยุดเห่า เจ้าของต้องชมเชยมัน สำหรับคำว่า "เฮ้ย" ทำให้มันดูรุนแรง หรือแม้กระทั่งการกระแอมในลำคอนั้นสามารถทำให้สุนัขไขว้เขว คำสั่งที่บอกว่า "เงียบ" นั้นคือคำสั่งที่ดูแข็งแรง ช้ด และเป็นเสียงที่ทรงพลังที่สุด เจ้าของต้องสามารถสั่งสุนัขให้หยุดเห่าด้วยคำพูดที่ว่า "หยุด" ให้เร็วที่สุด



การตัดเล็บให้แมว



การตัดเล็บให้แมว แมวที่วิ่งเล่นอยู่ตลอดเวลาเล็บของมันจะไม่งอกยาวมาก ส่วนแมวที่เลี้ยงอยู่ในบ้านเล็บจะยาวผิดปกติ และก็สกปรกอีกด้วย การตัดเล็บไม่เป็นผลดีต่อแมวมากนัก เพราะนอกจากจะทำให้มันเจ็บแล้วยังทำให้มันขาดอาวุธประจำตัวอีกด้วย เนื่องจากแมวมีเล็บไว้ป้องกันตัว เป็นอาวุธต่อสู้ป้องกันตัวจากสัตว์อื่นรวมทั้งแมวด้วยกันเอง ทางที่ดีควรจะหาของเล่นไว้ให้มันขูดขีดบริหารเล็บเท้าบ้าง หรือเล็มเล็บแมวหลังอาบน้ำ

วิธีตัดเล็บแมว 


  1. ควรอุ้มแมวไว้บนตักจับขาแมวอย่างเบามือ
  2. จับบริเวณข้อเท้าเพื่อให้แมวกางเล็บออก แล้วตัดเล็บตรงส่วนปลายเล็บ
  3. อย่าตัดให้ลึกเกินไปจนถูกส่วนที่เป็นเนื้อสีชมพู
  4. อาจจะมีรางวัลให้แมวหลังจากตัดเล็บเสร็จ ในกรณีที่แมวไม่ดื้อ
  5. ถ้าแมวดิ้นมากก็ให้ทยอยตัด 1-2 เล็บต่อวัน
  6. เจ้าของควรจะมีความอดทนมากสำหรับการตัดเล็บให้แมว


คุณค่าอาหารที่แมวต้องการ



โดยทั่วไปเรามักนิยมให้อาหารแมว 2 ครั้งต่อวัน คือเช้าและเย็น เพราะถ้าให้อาหารแมวเพียงมื้อเดียวและให้ครั้งเดียวมากๆ เวลากินเข้าไปอาจทำให้อาเจียนได้ ดังนั้นจึงควรแบ่งการให้อาหารแมวเป็น 2 มื้อจะถือว่ากำลังดี อาหารแมวที่เราเห็นส่วนมากจะเป็นข้าวคลุกปลาย่าง แต่ถ้าหากต้องการให้แมวมีสุขภาพที่แข็งแรงก็ควรจะเพิ่มเนื้อ นม ไข่ เข้าไปด้วย ความเชื่อที่ว่าแมวชอบกินปลาอาจจะไม่ถูกนัก เพราะแมวสามารถกินเนื้อสัตว์และอาหารทะเลได้เช่นกัน แมวแต่ละตัวจะกินอาหารไม่เท่ากัน หากแมวตัวไหนกินจุก็สามารถเพิ่มปริมาณอาหารให้ตามส่วน แมวบางตัวจู้จี้ควรตรวจดูว่าภาชนะที่ใส่อาหารสะอาดหรือเปล่า และเป็นอาหารที่แมวตัวนั้นชอบหรือไม่





เลี้ยงเจ้าเหมียวอย่างไรให้มีความสุข



แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ต้องเอาอกเอาใจมากนัก ถ้าเจ้าของรู้จักเอาใจใส่ก็จะทำให้มันมีความสุขยิ่งขึ้น สำหรับวิธีเลี้ยงแมวอย่างไรให้มีความสุข เรามีคำแนะนำดังต่อไปนี้

  1. ถ้าหากจะพาเจ้าเหมียวไปเที่ยวหรือเดินทางไกลจะต้องเตรียมอาหารและน้ำให้เพียงพอ ยิ่งเดินทางเกินกว่า 1 ชั่วโมงจะต้องให้เจ้าเหมียวกินอาหารครึ่งหนึ่งของปกติในระหว่างเดินทาง อาหารที่เหมาะสมที่สุดควรจะเป็นอาหารเม็ด และแมวจะมีอาการเมารถได้มากว่าสุนัขเพราะกระดูกที่หูจะไม่คุ้นกับความเร็วเหมือนกับสุนัข
  2. อาการเมารถของแมวจะเริ่มต้นด้วยการน้ำลายไหลยืด ซึม อาเจียน น้ำตาไหล ส่วนมากจะเกิดในระยะเวลา 10 ถึง 15 นาทีแรกของการเดินทาง จีมีอาการตะกุยเบาะ ตะกุยขอบรถ หรือบางตัวจะตื่นกลัว วิธีแก้คือควรจะนำเจ้าเหมียวนั่งรถในขณะที่รถยังไม่ติดเครื่อง และเริ่มสตาร์ทเครื่องโดยไม่เคลื่อนที่ไปไหนให้มันชินกับเสียงเครื่องยนต์ ควรทำบ่อยๆเพื่อให้เจ้าเหมียวเกิดความเคยชิน จากนั้นค่อยเริ่มเดินทางไปในระยะสั้นๆ แล้วเพิ่มระยะทางขึ้นเรื่อยๆ ถ้าน้ำลายไหลมากให้หยุดเดินทาง
  3. ภาชนะที่ใช้ในการขนย้ายแมวระหว่างเดินทางควรจะเป็นตะกร้าหวาย ตะกร้าพลาสติก กระเป๋าเดินทางที่มีซิบรูด เพื่อเวลาแมวเมารถหรือมีอาการอาเจียนจะไม่เลอะเปรอะเปื้อนรถ
  4. ของเล่นของเจ้าเหมียวที่ทำได้ง่ายๆคือก้อนกระดาษกลมๆ ซึ่งมันจะนำมาฉีกเล่นได้อย่างสนุกสนาน หรืออาจจะใช้ลูกบอลพลาสติก แต่ระวังของที่ต้องใช้เชือกผูกแขวนให้มันไล่จับ เพราะเชือกอาจพันคอทำให้เจ้าเหมียวตายได้
  5. กิจวัตรประจำวันของเจ้าเหมียวส่วนใหญ่คือ เที่ยว เล่น กิน นอน ถ้าพบว่ามันหาวก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะนั่นแสดงถึงว่ามันกำลังมีความสุขและกำลังสบายตัว ที่นอนของเจ้าเหมียวควรจะจัดให้มันอยู่อย่างสงบที่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง
  6. แมวอายุมาก มักจะเคลื่อนไหวได้ช้าลง และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน เจ้าของควรหากิจกรรมมาให้มันได้เคลื่อนไหวร่างกายบ้าง เพื่อกระตุ้นความสนใจให้มันอยากเคลื่อนไหว แต่ก็อย่าหักโหมจนเกินไปนักเพราะจะเป็นผลเสียต่อกล้ามเนื้อได้
  7. หากเจ้าของไม่อยู่บ้านและจำเป็นต้องทิ้งเจ้าเหมียวไว้ ก็ควรจะเพิ่มอาหารให้มันตามสัดส่วน ไม่จำเป็นต้องให้มันอยู่นอกบ้าน เพราะแมวไม่ชอบออกกำลังผาดโผนเหมือนอย่างสุนัข
  8. เมื่อจำเป็นต้องใช้บริการร้านรับฝากเลี้ยงสัตว์ ควรจะตรวจดูให้แน่นอนว่ามีประตูแน่นหนาพอที่จะไม่ทำให้มันหนีออกมาและหายสาบสูญได้ และสถานที่ควรมีการแยกระหว่างสุนัขกับแมว เมื่อรับกลับบ้านก็ควรจะตรวจให้แน่ใจว่าแมวมีอาการปกติ



อาหารที่คุณไม่ควรให้สุนัขกิน


สุนัขเป็นสัตว์ที่กินเนื้อ ดังนั้นเศษอาหารที่เราทิ้งไว้ สุนัขอาจจะนำไปกินจนเป็นอันตรายต่อร่างกายของมัน ดังนั้นเจ้าของสุนัขต้องใส่ใจในเรื่องนี้ให้มาก เพราะว่ากลิ่นของเศษอาหาร อาจจะนำพาสุนัขให้มาคุ้ยหาเศษอาหารในถังขยะได้

หนึ่งในสิ่งของที่เป็นอันตรายต่อสุนัขที่มีอยู่ในบ้านของเรา คือ "ช็อกโกแลต" แม้ว่าช็อกโกแลตจะมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนต์ที่เป็นมิตรต่อมนุษย์ในปริมาณที่สูง แต่สำหรับสุนัขนั่นคือสิ่งที่สามารถฆ่ามันได้ สุนัขแต่ละสายพันธุ์นั้นมีปฏิกิริยาต่อช็อกโกแลตที่ไม่แตกต่างกัน เนื่องจากช็อกโกแลตนั้นมีสารเคมีหลายชนิด ซึ่งนั่นก็คือ Methy-Ixanthine Alkaloids (ช็อกโกแลตบางชนิดจะมีสารเคมีชนิดนี้มากกว่าสารเคมีอื่นๆ) สารเคมีตัวนี้ทำให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่ คือ ทำให้เส้นเลือดใหญ่หดตัวลง เป็นสาเหตุของความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และช็อกโกแลตนมนั้นสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งสุนัขน้ำหนัก 6 ปอนด์

ถ้าคุณไม่ระวังไม่ให้สุนัขกินช็อกโกแลต ผลที่กล่าวมาข้างต้นจะเกิดขึ้นกับสุนัขของคุณ ถ้าสุนัขกินช็อกโกแลตเข้าไปแล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องภายใน 4-6 ชั่วโมง หัวใจจะหยุดทำงาน มีอาการชัก หมดสติ และตายในที่สุด


ยังมีสิ่งของภายในบ้านที่เราคิดว่ามันปลอดภัยสำหรับสุนัขแต่แท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่อันตรายที่สุด ตัวอย่างเช่น


  1. เห็ดบางชนิด สามารถทำให้ปวดท้อง และทำอันตรายต่อตับและไต ทำให้โลหิตจาง
  2. กระเทียม เป็นสาเหตุทำให้อาเจียน ทำลายตับ ทำให้โลหิตจางและท้องเสีย
  3. Anti-Freeze (แอนทิ-ฟรีซ) สามารถทำอันตรายต่อไต
  4. ต้นกาฝาก (Mistletoe) สามารถทำให้เกิดการอาเจียน ปวดท้องและวิงเวียน
  5. หอม สามารถทำลายตับ โรคโลหิตจางและอาการท้องเสีย
  6. กาแฟ หรือ โกโก้ มีความอันตรายและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ท้องเสีย ชัก หมดสติ และตาย
  7. ต้นแอปเปิ้ล และ ต้นเชอร์รี่ ใบและรากนั้นอันตรายมากสำหรับสุนัข
  8. ลูกเหม็น สารเคมีในลูกเหม็นนั้นเป็นพิษต่อสุนัขและทำให้สุนัขมีอาการชัก
  9. สารสังเคราะห์ที่มีไว้ถนอมอาหาร,สีย้อมผ้า เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งได้
  10. อาหารสุนัขบางยี่ห้อมักมีโซเดียมในปริมาณที่สูงเกินไป
  11. ส่วนประกอบที่เป็นนม  


เคล็ดลับในการทำอาหารสำหรับสุนัข


การทำอาหารสุนัขด้วยตัวเองนั้นยังมีสูตรอาหารบางสูตรที่เราต้องหลีกเลี่ยง ดังนี้









3. แป้งบางชนิดเหมาะกับไปทำขนมปังมากกว่า เช่นแป้งข้าว แป้งสาลี หรือแป้งข้าวโพด สำหรับสุนัขควรใช้แป้งเทียมแทน เพราะแป้งเทียมนั้นย่อยง่ายสำหรับสัตว์


4. อย่าให้อาหารสุนัขที่ทำมาจากแป้งและเป็นอาหารที่ต้องนำมาอุ่น ควรจะให้อาหารที่เป็นธรรมชาติ มีสารอาหารครบถ้วนและไม่เคยผ่านกระบวนการอาหารมาก่อนจะดีกว่า












5 สิ่งพิเศษที่สุนัขมีแตกต่างจากคน

1. การมองเห็น ความเชื่อที่ว่าสุนัขนั้น ตาบอดสี คือสามารถมองเห็นแต่สีขาวและสีดำนั้นคือสิ่งที่ไม่จริง สุนัขสามารถมองเห็นสีสันต่างๆได้เช่นกัน สุนัขมีความไวของประสาทตาต่อการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆมากว่าของมนุษย์ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสุนัขจึงสามารถมองเห็นแมวที่มันปีนอยู่บนต้นไม้ในระยะที่ไกลๆ ได้กว่าที่มนุษย์เราสามารถจะมองเห็น การมองเห็นของสุนัขในเวลากลางคืนก็ดีกว่าเรา สุนัขมีประสาทตาที่ทำให้เป็นการสะท้อนภาพกลับที่เรียกว่า "Tapetum Lucidum" ที่จะสะท้อนแสงกลับไปที่เซลล์รับแสงในดวงตา ซึ่งสิ่งนี้คือสิ่งที่เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นในเวลากลางคืนของสุนัข และสิ่งนี้เองที่เวลาเราจ้องตาของสุนัขในตอนกลางคืน ตาของมันจะดูน่ากลัวเมื่อสะท้อนกับไฟหน้ารถ





2. การได้ยิน สุนัขสามารถได้ยินเสียงในระยะทางที่ไกลกว่าที่มนุษย์ได้ยินถึงสี่เท่า นั่นหมายความว่า ถ้าคุณได้ยินบางสิ่งจากระยะทาง 100 หลา สุนัขของคุณจะได้ยินไกลกว่านั้นซึ่งเท่ากับ 1/4 ไมลล์ และหูของสุนัขถูกออกแบบมาให้มีลักษณะที่สามารถจับคลื่นเสียงได้ดีกว่า มีกล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน 15 กล้ามเนื้อที่อยู่ในหูของสุนัข และมันสามารถทำให้หูของสุนัขเคลื่อนไหวไปได้เกือบทุกทิศ สิ่งที่พิเศษคือ สุนัขสามารถทำให้หูของมันเคลื่อนไหวได้ข้างเดียวได้ด้วย ซึ่งจะทำให้มันสามารถได้ยินสิ่งต่างๆได้เท่าที่มันต้องการ





3. การสัมผัส สุนัขมีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับรู้ การสัมผัสภายใต้ขนของมัน แม้ว่ามันจะไม่ได้รับการสัมผัสแบบที่มนุษย์เคยได้รับมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน คุณเคยสังเกตุไหมว่าเวลาที่คุณนั่งอยู่บนโซฟา สุนัขมักจะมานั่งข้างๆ คุณเพื่อที่ว่ามันจะสามารถอิงแอบคุณได้แม้ในวันที่อากาศจะร้อนก็ตาม นั่นเป็นเพราะมันต้องการรับรู้ความรู้สึกที่ดีจากตัวคุณ





4. การดมกลิ่น ว่ากันว่าความสามารถในการดมกลิ่นของสุนัขนั้นดีกว่าในตัวมนุษย์ประมาณ 100,000 เท่า นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ตัวการรับกลิ่นของสุนัขนั้นมีประมาณ 2,000 ล้านจุด สุนัขใช้การดมกลิ่นในการติดต่อสื่อสารเมื่อมันวิ่งไปรอบๆสวนสาธารณะแล้วเอาจมูกก้มลงดมกลิ่นแล้วทำเสียงฟุดฟิดในสิ่งที่มันมองไม่เห็น นั่นหมายความว่ามันกำลังอ่านนามบัตรของสิ่งนั้น ซึ่งอาจจะเป็น มนุษย์ แมว กระรอก หรืออะไรก็ตามที่อยู่ข้างหน้ามันนั่นเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมมันไม่สนใจในตัวคุณเลย แต่จะสนใจในสิ่งอื่นๆซะมากกว่า





5. การรับรส เหมือนกับมนุษย์ แต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่ ถ้าสิ่งใดส่งกลิ่นเหม็น มนุษย์จะไม่รับประทานสิ่งนั้น แต่สุนัขตรงกันข้ามกับเราโดยสิ้นเชิง คือ ยิ่งเหม็นยิ่งดี มนุษย์จะตัดสินว่าจะรับประทานอะไรนั้นขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ และ กลิ่นหอม แต่สำหรับสุนัขนั้นจะตัดสินใจว่ามันจะกินอะไรจากการใช้กลิ่นมากกว่ารสชาติ มันจะกลืนอาหารลงท้องก่อนการเคี้ยวซะอีก